ก่อนที่เราจะดูวิธีแก้ปัญหาลูกน้อย ผมว่าเรามาดูที่ปัญหากันก่อนดีกว่าว่าทำไมคนไทยมีลูกน้อย
ถ้า segment ปัญหานี้ออกเป็นชนชั้น น่าจะเป็นแบบนี้ (ปัจจุบันอัตราการเกิดของไทยลดลงจาก 8 แสน – 1 ล้าน คนต่อปี เหลือ 4-5 แสนคนต่อปี หรือลดลงราวๆครึ่งนึง)
- ระดับบน มีลูกเท่าเดิม ไม่ได้มากขึ้นหรือน้อยลง
- ระดับกลาง-กลางบน มีลูกน้อยลง 60-80%
- ระดับกลางล่าง มีลูกน้อยลง 30-50%
- ระดับล่าง มีลูกเยอะขึ้น
ทีนี้ ถ้าแจกเงินแบบไม่คิดอะไร จ่ายเป็นรายหัว มันไปกระตุ้นให้คนล่าง – กลางล่าง มีลูกเยอะขึ้น และเงินก็ไม่รู้ไปถึงเด็กจริงๆไหม บางครอบครัวถึงเด็กจริง แต่บางครอบครัวก็กลายเป็นค่าเหล้าค่าเบียร์พ่อแม่หมด
ทีนี้มาดูกันว่า ทำไมระดับ กลาง ถึงมีลูกน้อยลง
- อยากมีเวลา ดูแลลูกเอง
- ภาระด้านค่าใช้จ่าย เพราะอยากดูแลลูกอย่าง premium หรืออย่างน้อยก็ควรจะ higher average เท่านั้น ซึ่งค่าครองชีพไม่สมดุลกับรายได้
- ค่านิยมเปลี่ยน ทั้งเรื่องไม่นิยมมีลูก และมองว่าลูกไม่ได้มีหน้าที่ดูแลพ่อแม่ ไม่ควรรีบมีลูก เพื่อใช้งาน หรือหวังให้ดูแลอีกต่อไป ควรมีเมื่อพร้อมเท่านั้น
- รู้สึกสูญเสียความหวังว่าประเทศจะดีขึ้น ทำให้การทำนายอนาคตเป็น bad scenario และการมีลูกเป็นการเพิ่มความไม่แน่นอนใน scenario นั้น
- ปัญหาเรื่อง hypergamy ที่รุนแรงขึ้นอย่างมาก ทำให้ความสำเร็จในการหาคู่ทั้งชายและหญิงน้อยลงไปมาก (อ่านเพิ่มเติม https://theadultman.com/love-and-lust/hypergamy/ ) ซึ่งปัญหาที่รุนแรงขึ้นส่วนนึงก็เกิดจากปัญหาเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่ทำให้เพศชาย(และหญิง)สร้างเนื้อสร้างตัวได้ช้ากว่าเมื่อก่อนมาก และปัญหานี้ทำให้เพศหญิงต้องให้ความสำคัญกับความมั่งคงของเพศชายมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมากๆในการตัดสินใจเลือกคู่
- ปัญหาการเลี้ยงดูแลผู้สูงอายุ ตอนนี้ประเทศเรามีผู้สูงอายุมาก แต่มีคนวัยทำงานน้อย ทำให้ใน 1 ครอบครัว คนทำงาน 1 คน ต้องดูแลผู้สูงอายุหลายคนอยู่แล้ว นอกจากนี้ผู้สูงอายุของไทยส่วนใหญ่มีเงินออมไม่พร้อมเกษียณประกอบกับค่านิยมของคนรุ่นก่อนที่มองว่าการดูแลผู้ใหญ่เป็นหน้าที่ของบุตรหลาน พอมีภาระตรงนี้มากอยู่แล้ว การมีลูกจึงเป็นการเพิ่มภาระอันมหาศาลเข้าไปอีก
วิธีการแก้ปัญหา
- สาเหตุข้อแรก มองว่าแก้ได้โดย ออกกฎหมายว่าถ้าที่ทำงานไม่สามารถให้พ่อหรือแม่ WFH ได้ ก็ต้องมี nursery ในที่ทำงาน และต้องให้พ่อหรือแม่สามารถมาดูแลลูกใน nursery ได้ในเวลาทำงาน และต้องจัดให้มีคนดูแลอยู่ตลอด เพราะคนรุ่นใหม่ที่เป็นคนชั้นกลางอยากดูแลลูกเอง และก็อยากทำงานด้วย ไม่อยากหลุดออกจากระบบงานเพียงเพราะต้องไปเลี้ยงลูก และก็ไม่อยากส่งลูกไปให้ปู่ย่าตายายเลี้ยงให้เป็นปัญหาและภาระด้วย
สำหรับเรื่องการเพิ่มวันลาหลังคลอด ข้อนี้ +/- เพราะมองว่าไม่ได้กระตุ้นชนชั้นกลางบนมากนัก แต่ไปทำให้กลุ่มที่มีลูกมากอยู่แล้วลาบ่อยจนอาจนำไปสู่การจ้างออกได้ เพราะคนที่มีลูกมาก ก็มีกันปีเว้นปี ถ้าให้ลาได้ 6 เดือน – 1 ปี อาจไม่ได้ทำงานเลย และนำไปสู่การจ้างออกของนายจ้างในที่สุด
การเปลี่ยนค่านิยมเรื่องการทำงานก็สำคัญ โดยเฉพาะแนวคิด 9-9-6 ที่กำลังเป็นที่นิยม ส่งผลให้อัตราการเกิดลดลงมาก พูดกันตามตรง คนรอบตัวผมที่เป็นระดับกลาง-กลางบนทั้งสิ้น ไม่มีใครที่ทำงานแบบ 9-9-6 แล้วมีลูกเลย คนที่มีลูกมีแต่ 8-4-5 (ขรก./หน่วยงานรัฐ) หรือ 8-5-5 เท่านั้น
- สาเหตุข้อสอง ข้อสี่ ห้า และหก ข้อนี้ควรแก้ด้วยเศรษฐกิจและการเมือง รวมถึงโครงสร้างทางสังคม แต่ยาก ซับซ้อน และใช้เวลานาน การจ่ายอุดหนุนงบรายหัวแก่เด็ก พอจะช่วยบรรเทาได้ในระยะสั้น แต่ต้องมีมาตรการที่ทำให้มั่นใจได้ว่า เงินถูกใช้เพื่อเด็กเท่านั้นจริงๆ ไม่ใช่ใช้เพื่ออย่างอื่น
ข้อนี้ การแก้ไขปัญหาระยะสั้น-กลาง อีกอย่างคือพยายาม import แรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แรงงานต่างด้าว/ต่างชาติที่มีฝีมือ ให้เค้ามาอยู่ในระบบภาษีของเราให้ได้มากและนานที่สุด นอกจากนี้ก็ควรให้โอกาสเด็กไร้สัญชาติ โดยเฉพาะเด็กไร้สัญชาติที่มีความสามารถ ให้เค้าเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและการทำงานได้ง่ายกว่าที่เป็นอยู่ (ซึ่งควรให้สัญชาติ) เพื่อให้เค้าเข้าสู่ระบบแรงงานและระบบภาษี และไม่เป็นภาระของประเทศในอนาคตด้วย นอกจากนี้เราก็ต้องพยายามรักษาแรงงานระดับหัวกะทิ ไม่ให้เค้าอยากออกไปทำงานเพื่อเป็นแรงงานแก่ชาติอื่นๆ ควรหาแรงจูงใจให้เค้าอยู่เป็นกำลังหลักในชาติของตนเองให้ได้
- สำหรับข้อสาม ถ้าจะมารณรงค์ช่วยกันมีลูกช่วยชาติ มันก็เชยไปแล้ว แล้วมันยังดูเสร่ออีกด้วย คงต้องหาอะไร cool cool หรือ privilege กว่านั้น เช่นมีลูกได้สิทธิบางอย่างในการเลือกที่นั่งบนเครื่องบินก่อน อะไรแบบนี้ (ผมไม่ค่อยมีหัวกับเรื่องอะไรแบบนี้)
อย่างไรก็ดี การปรับค่านิยม ต้องเปลี่ยนมุมมองจากการมีลูกคือภาระที่สร้างปัญหาให้คนอื่น เช่น คนมีลูกมักลางานบ่อย ทำให้คนอื่นทำงานหนักขึ้น ทำงานก็ทำได้ไม่เต็มที่ ไม่โฟกัสเหมือนแต่ก่อน หรือไปในที่สาธารณะก็เด็กร้องงอแงสร้างความวุ่นวาย เป็น คนที่มีลูก คือคนที่เสียสละ ยอมเสียสละเวลาความสุขส่วนตัว เพื่อมาดูแลอนาคตของชาติ ให้ชาติเดินหน้าต่อ
นอกจากนี้ คนรุ่นก่อน ก็ต้องปรับค่านิยมเรื่อง การดูแลผู้ใหญ่ในครอบครัวเป็นหน้าที่ของบุตรหลานด้วย โดยควรเปลี่ยนเป็น การพยายามยืนด้วยลำแข้งตัวเองโดยไม่พึ่งพาใครเป็นคนที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรี เป็นต้น
- สำหรับข้อห้านั้น ผมคิดว่า event ต่างๆ ที่ช่วยให้คนมาจับคู่กันก็พอช่วยได้บ้าง เช่น เส้นทางคนโสดของ ททท. ที่เปิดพื้นที่ให้คนโสดมาเจอกัน มีกิจกรรมร่วมกัน แต่ผมคิดว่าถ้าจะให้เห็นผลต้องมีอะไรจริงจังมากกว่านี้ เช่น ต้องเป็นกิจกรรมที่ดึงดูดพอจะให้คนที่ทำงานเหนื่อยๆ ยอมออกจากบ้านในวันหยุด เพื่อทำกิจกรรมนั้นๆกับคนอื่นๆ และได้มีการสานต่อกับคนที่สนใจ นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุด ควรมีนโยบายที่ทำให้คนที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวตั้งตัวได้เร็วขึ้น เช่น มาตรการพิเศษทางภาษีสำหรับผู้ที่อายุต่ำกว่า 35 ปี เป็นต้น
- ส่วนข้อที่หกนั้น การเพิ่มสวัสดิการผู้สูงอายุอย่าง เบี้ยคนชรา ผมมองว่าเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น-กลางเท่านั้น แต่ในระยะยาวจะทำให้คนทำงานต้องแบกรับภาระหนักขึ้นจากการที่ต้องใช้เงินภาษีมากขึ้น นอกจากนี้ ผมมองว่าเป็นการไม่ยุติธรรมนัก กับการที่คนในรุ่นก่อนหน้าไม่ว่าจะมีลูกและไม่มีลูกต้องเสียภาษีในอัตราเท่ากัน แต่คนมีลูกต้องลำบากกว่าและสละความสุขส่วนตัวหลายอย่างในวัยหนุ่มสาวเพื่อเลี้ยงลูก แต่พอแก่ตัวมา คนไม่มีลูกกลับถูกเลี้ยงดูด้วย productivity จากลูกๆของคนอื่นที่ตนไม่ได้เลี้ยงในอัตราที่เท่ากับคนที่เลี้ยงมาด้วยความยากลำบากผ่านนโยบายของรัฐ แม้ว่าในจุดนี้หลายคนจะอ้างว่า ที่ผ่านมาตนเสียภาษีมามากแล้ว ควรได้รับการเลี้ยงดู แต่อันที่จริง ภาษีเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มันก็หมดไปตั้งแต่ 10 ปีที่แล้วๆ ซึ่งภาษีที่เลี้ยงเขาในปีนี้ มันมาจากคนทำงานในปีที่แล้ว ไม่ใช่ภาษีเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ผมคิดว่าทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้ในระยะกลาง คือพยายามให้มีการจ้างงานผู้สูงอายุเท่าที่จะเป็นไปได้ ต้องเข้าใจก่อนว่ากฎหมายแรงงานเรื่องเกษียณอายุที่ 60 ปี นี่มันมาจากกฎหมายแรงงานฉบับแรกของอเมริกาเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นคนอเมริกามีอายุเฉลี่ยเพียง 65 ปี แต่เมื่อผ่านมาเป็นร้อยปี คนอายุยืนขึ้นมาก ช่วงเวลาที่แข็งแรงก็ยาวนานขึ้นมาก ทำให้มีช่วงเวลาที่ยังมีศักยภาพและประสิทธิภาพในการทำงานยาวนานขึ้นไปด้วย จึงไม่ควรปล่อยให้เวลาตรงนี้เปล่าประโยชน์และช่วยลดช่วงเวลาที่ไม่มีรายได้ก่อนตายไม่ให้นานจนเกินไป (ถ้าคิดว่าเกษียณที่ 60 ปี ตายที่ 80 ปี หมายความว่ามีช่วงเวลาที่ไม่มีรายได้ถึง 20 ปี เทียบกับเวลาทำงาน 35-40 ปี ในขณะที่เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วเกษียณที่ 60 แต่ตายตอน 65 ปี ซึ่งมีช่วงเวลาที่ไม่มีรายได้เพียง 5 ปี เทียบกับเวลาทำงาน 35-40 ปี เท่ากัน)
อย่างไรก็ดี ผู้สูงอายุก็ต้องยอมรับว่า ในหลายๆสายงาน ตนไม่สามารถทำงานหนักและมี competency เท่าสมัย peakๆ อีกแล้ว ดังนั้นจึงไม่ควรยึดติดกับเงินเดือนสุดท้ายที่เคยได้รับ แต่ยอมปรับตามความสามารถในการทำงานที่ตนสามารถทำได้จริงๆ
นอกจากนี้ควรมีการแก้ปัญหาในระยะยาว ด้วยการออกกฎหมายบังคับคนที่ไม่มีลูก เข้ากองทุนคนไม่มีบุตร เพื่อนำเงินกองทุนนั้นมาดูแลพวกเขาเหล่านั้นในยามบั้นปลาย โดยไม่เป็นภาระของคนรุ่นถัดๆไป ไม่อย่างนั้น จะเกิดเป็น loop นรก (พ่อแม่/ญาติผู้ใหญ่ไม่มีเงินเก็บ >>> ลูก/หลานเลี้ยงพ่อแม่/ผู้ใหญ่ที่ไม่มีเงินเก็บ (ทำให้) ไม่อยากมีลูก >>> ตัวเองไม่มีเงินเก็บในบั้นปลาย>>>เป็นภาระรุ่นต่อไป) อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
Share this: