เป็นที่ทราบกันดีกว่า การเผาเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาฝุ่น pm 2.5 ที่กำลังสร้างปัญหาอยู่ในขณะนี้ และการเผาไร่อ้อยก็เป็นหนุ่งในนั้น คำถามคือ ทำไมต้องเผา และเราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร
การเผาไร่อ้อย
การเผาไร่อ้อยทำเพื่อกำจัดใบอ้อยให้หายไป เพื่อความสะดวกในการตัด ซึ่งจะทำในช่วงฤดูเปิดหีบอ้อย ซึ่งจะกินระยะเวลาประมาณ 4 เดือน ถึง 4 เดือนครึ่ง ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ช่วงประมาณธันวาคม ถึง เมษายน ของทุกปี
วิธีการเผานั้นมักเริ่มจากเผาต้นอ้อยรอบแรก เพื่อให้ตัดได้ง่าย จากนั้นก็จะเผาใบอ้อยที่เหลืออีกรอบ แต่หากมีการตัดสดในรอบแรก หลังจากตัดและนำอ้อยออกจากแปลงแล้ว ก็จะมีการเผาเศษใบอ้อยที่เหลือ ยกเว้นบางแปลง จะมีการใช้เครื่องมาม้วนพันใบอ้อยที่เหลือเป็นม้วนขนาดใหญ่ แล้วนำไปขายเพื่อเป็นเชื้อเพลิง
การเผาไร่อ้อยก่อนตัดมีข้อดีคือ แรงงานตัดได้ง่าย ประหยัดค่าแรงและเวลา โดยเฉพาะบางแปลงที่ต้องเร่งตัดให้ทันช่วงเวลาหีบอ้อย (อย่าลืมว่าโควต้าเต็มเมื่อไรก็ปิดหีบ ดังนั้นปีไหนที่ผลผลิตเยอะ ก็ต้องเร่งทำเวลา) สามารถตัดได้แม้อ้อยมีปัญหาเจอลมแรงต้นล้มพันกันมากจนรถตัดไม่ได้
สำหรับข้อเสียของการเผาไร่อ้อยก่อนตัดคือ ทำให้เกิดมลภาวะ เกิดฝุ่น pm 2.5 ได้อ้อยที่มีน้ำหนักน้อย ค่าความหวานลดลง ทำให้ขายได้ราคาน้อยลง รายได้ลด ทำให้อินทรีวัตถุในดินน้อยลง ดินทึบแน่น ไม่อุ้มน้ำ นอกจากนี้การที่เราเผาจะทำให้เราไม่มีใบอ้อยมาคลุมดิน ทำให้วัชพืชขึ้นได้ง่าย ซึ่งวัชพืชดังกล่าวจะมาแย่งอาหาร ทำให้ตออ้อยแคระเกร็น นอกจากนี้แมลงที่เป็นศัตรูพืชจะบินมาวางไข่ และเมื่อไข่ดังกล่าวฟักตัวจะกลายเป็นหนอนชอนไชทำให้ตายตออีกด้วย การที่เหลือใบอ้อยไว้ ใบอ้อยจะกลายเป็นปุ๋ย ซึ่งใบอ้อยมีไนโตรเจน 0.35-0.66% ประเทศไทยมีการเผาใบอ้อยปีละประมาณ 10 ล้าน เท่ากับเราเผาปุ๋ยไนโตรเจนทิ้งไปปีละ 35,000-66,000 ตัน เลยทีเดียว
เมื่อเทียบข้อดีกับข้อเสียแล้ว จะเห็นว่า ในระยะยาว ยังไงการเผาก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี แต่ทำไมเกษตรกรร้อยละ 60 จึงเลือกใช้วิธีการเผา?
ทำไมเกษตรกรถึงเลือกใช้วิธีการเผา?
อยากให้ลองดูตารางข้างล่าง ก่อนตัดสินใจนะครับ
วิธีการเก็บเกี่ยว | |||
เกษตรกร | การตัดอ้อยสด | การเผาอ้อยก่อนตัด | การใช้รถตัดอ้อย |
ราคาผลผลิต (บาท/ตัน) | 780 | 720 | 780 |
ค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยว (บาท/ตัน) | 150 | 100 | 220 |
วิธีการเก็บเกี่ยว | ||
แรงงาน | การตัดอ้อยสด | การเผาอ้อยก่อนตัด |
จำนวนที่เก็บเกี่ยวได้ (ตัน/วัน) | 1.0 | 2.5 |
รายได้จากการเก็บเกี่ยว (บาท/วัน) | 150 | 250 |
เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ เห็น 2 ตารางนี้ ก็น่าจะเลือกเหมือนกันคือ เผาอ้อยก่อนตัดดีกว่า! (อย่าลืมว่าในความเป็นจริง นอกจากตัวเลขต้นทุน-รายได้แล้ว ยังมีปัจจัยเรื่องระยะเวลาด้วย เพราะยิ่งช้า ก็หมายถึงเวลาที่โรงงานจะปิดรับซื้อก็ใกล้เข้ามา ยิ่งในช่วงเวลาที่ขาดแคลนแรงงานด้วยแล้ว แรงงานก็จะมีอำนาจต่อรองมากขึ้น เพราะเวลาที่หายไวจากการไม่มีแรงงานตัด นั่นหมายถึงเวลาที่ก่ออนปิดหีบที่เหลือน้อยลงทุกที)
หากคุณเลือกวิธีเผาก่อนตัดอ้อย คุณไม่ได้คิดไปคนเดียวหรอกครับ จากการทดลองของ อ.ดร.ดร.เดชรัต สุขกำเนิด ภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็พบว่ามีนักศึกษาถึง 70-80% ที่เลือกวิธีนี้ อย่าลืมนะครับว่า เกษตรกรจริงๆ เลือกใช้วิธีนี้แค่ 60% นะครับ แสดงว่าในมุมมองของคนทั่วไป ตัดสินใจเลือกใช้วิธีนี้มากกว่าเกษตรกรจริงๆเสียอีก!
เมื่อเราเห็นตัวเลขนี้ แล้วเราเลือกใช้วิธีนี้ แม้ว่า
- รายได้จากการขายอ้อยของเกษตรจะลดลง
- โรงงานได้ผลผลิตน้ำตาลต่อตันและตกผลึกน้ำตาลยากขึ้น
- เกิดปัญหามลพิษฝุ่นละออง
แต่นั่นเป็นเพราะ
- ในแง่ของแรงงาน แม้ว่าแรงงานจะได้ค่าแรงต่อตันน้อยกว่า แต่ด้วยความสะดวกในการตัด ทำให้สามารถตัดได้ต่อวันมากกว่า ส่งผลให้แรงงานได้ค่าแรงสุทธิมากกว่า แรงงานจึงแฮปปี้กับการตัดอ้อยเผามากกว่า
- ในแง่ของเกษตรกร แม้ว่าจะได้รายได้น้อยลง แต่ค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวก็ลดลง ประกอบกับแรงงานแฮปปี้กับวิธีการเผามากกว่า เลยเกิดเป็น win-win situation ใช้วิธีการเผาดีกว่า
จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ทำให้เกษตรกรต้องเลือกใช้วิธีการเผาก่อนตัด เป็นเพราะกลไกราคาเป็นตัวส่งเสริมให้ใช้วิธีดังกล่าว
แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไรดี?
จากตัวเลขกลไกข้างต้น หากเราต้องการเปลี่ยนการตัดสินใจของเกษตรกร เราสามารถทำได้โดย
- ให้โรงงานกดราคาอ้อยไหม้ไฟให้ต่ำลง
- เพิ่มราคาอ้อยสดให้สูงขึ้น
- ทำให้ต้นทุนในการใช้รถตัดอ้อยลดลง
- เพิ่มแรงจูงใจกับแรงงานด้วยการเพิ่มค่าจ้างการตัดอ้อยสดให้สูงขึ้น
ในความเป็นจริงแล้ว ข้อ 1, 2 ต้องใช้กลไกทางภาครัฐเข้ามาช่วย เพื่อบีบให้โรงงานกดราคาอ้อยไหม้ไฟ หรือแทรกแซงกลไกตลาดให้ราคาอ้อยสดสูงขึ้น สำหรับข้อ 4 การเพิ่มค่าแรงจะเป็นไม่ได้เลย หากไม่ทำร่วมกับข้อ 2 คือ ราคาอ้อยสดต้องสูงขึ้นด้วย จึงต้องใช้วิธีกลไกของรัฐในการแทรกแซงอยู่ดี หากรัฐต้องการแทรกแซงให้น้อยที่สุด จึงน่าจะต้องใช้วิธีในข้อ 3 คือทำให้ต้นทุนในการใช้รถตัดอ้อยลดลง อาทิเช่น ที่ผ่านมามีคนนำเสนอว่า ให้แต่ละพื้นที่มีรถตัดอ้อยส่วนกลางเพื่อใช้งานร่วมกัน หรือพัฒนารถตัดอ้อยให้มีราคาถูกลง เช่น จากเดิมต้องนำเข้าจากต่างประเทศราคาคันละ 11.5 ล้านบาท แต่สามารถพัฒนาและผลิตใช้เองในราคาคันละ 2.5 ล้านบาท เป็นต้น
Share this: