ช่วงปี 1960 – 1990 เป็นช่วงที่อเมริกากำลังเผชิญกับปัญหาอาชญากรรมอย่างหนัก ซึ่งอเมริกาเองก็พยายามอย่างหนักที่จะค้นหาสาเหตและแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ในทุกๆรูปแบบ แต่แล้วหลังปี 1990 อัตราการก่ออาชญากรรมก็ลดลงฮวบฮาบอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เรียกได้ว่านักวิเคราะห์ นักเศรษฐศาสตร์ นักอาชญาวิทยา นักพฤติกรรมศาสตร์ ต่างก็งงกันเป็นแถบๆ อย่างไรก็ตาม อเมริกาไม่ปล่อยให้สิ่งนี้เป็นปริศนา ว่าอะไรคือสาเหตที่แท้จริงที่ทำให้ปัญหาการก่ออาชญากรรมหายไป ซึ่งจะนำไปสู่ผลที่ว่า ทำไมการก่ออาชญากรรมในช่วงนั้นถึงได้สูงลิบลิ่ว
ในช่วงเวลาดังกล่าวอเมริกาพยายามอย่างหนักในการลดปัญหาอาชญากรรมทุกวิถีทาง แต่วิธีไหนเป็นวิธีที่ได้ผลจริงๆกันแน่
เศรษฐกิจที่ดีขึ้น
เป็นที่ทราบกันดีช่วงเวลานั้นอเมริกาเป็นช่วงคาบเกี่ยวกับสงครามเวียดนามที่อเมริกาทุ่มงบประมาณไปมหาศาล ซึ่งคอยซ้ำเดิมปัญหาเศรษฐกิจในช่วงนั้นให้ทรุดลงอีก ตามมาด้วยปัญหาการว่างงานและอื่นๆอีกมาก แต่หลังจากปี 1990 เศรษฐกิจของอเมริกาก็เติบโตแบบก้าวกระโดด เป็นผลให้อัตราการว่างงานลดลงอย่างรวดเร็ว แต่นี่ใช่เหตุผลที่ทำให้อัตราการก่ออาชญากรรมลดลงจริงๆหรือ? มาลองพิจารณากันดูนะครับ
- ผลการวิจัยชี้ว่าอัตราการว่างงานที่ลดลง 1% จะลดคดีอาชญากรรมที่ร้ายแรงลงได้ 1%
ประเด็นนี้น่าสนใจทีเดียว แต่ความจริงก็คือ ช่วงปี 1990-1999 อัตราการว่างงานลดลงไป 2% แต่คดีอาชญากรรมที่ไม่ร้ายแรงกลับลดลงไปถึง 40%!!!! ซึ่งห่างไกลไปจากทฤษฎีมากทีเดียว แสดงให้เห็นว่าประเด็นนี้ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้อาชญากรรมลดลงไป นอกจากนี้เมื่อเรานำทฤษฎีนี้ไปอธิบายคดีอาชญากรรมร้ายแรงก็จะยิ่งพบความไม่สัมพันธ์กันระหว่างทฤษฎีนี้และอัตราการเกิดอาชญากรรมมากขึ้นเรื่อยๆ (พูดง่ายๆก็นี้ ยิ่งคดีอาชญากรรมร้ายแรงมากขึ้นเท่าไร ตัวเลขนี้ก็จะไม่เป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น)
- ปัญหาการว่างงานเป็นแรงจูงใจในการก่ออาชญากรรมบางประเภทเท่านั้น
งานวิจัยหลายชิ้นบ่งบอกว่า เมื่อการว่างงานลดลง แรงจูงใจในการก่ออาชญากรรมที่มีเงินเป็นเครื่องล่อใจจะลดลง เช่น การปล้น ยกเค้า ย่องเบา แต่แรงจูงใจแบบนี้ไม่ได้สัมพันธ์กับอาชญากรรมร้ายแรงอย่างฆาตกรรม หรือข่มขืน ดังนั้นประเด็นนี้จึงตกไปในที่สุด
- เศรษฐกิจช่วงปี 60 ก็ดีเหมือนกัน
แม้ว่าช่วงปี 1990 เศรษฐกิจจะโตแบบก้าวกระโดด แต่ในช่วงปี 1960-1969 อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจก็ไม่ได้น้อยหน้าปี 1990 แต่อย่างใด แต่ถึงอย่างนั้น อัตราการก่ออาชญากรรมก็ยังพุ่งสูงขึ้นอยู่ดี
จากเหตุผลดังกล่าว จะพบว่าประเด็นเรื่องเศรษฐกิจไม่ได้สัมพันธ์กับอัตราการเกิดอาชญากรรมในช่วงเวลาดังกล่าวแต่อย่างใด หรืออาจจะสัมพันธ์กันบ้าง แต่มีผลน้อยมาก
กฏหมายและระบบยุติธรรมที่เข้มงวดมากขึ้น
เราคงเคยได้ยินบ่อยๆว่า “เมืองไทยกฏหมายเบา ทำให้คนไม่เกรงกลัวต่อกฏหมาย” แต่ประโยคนี้จะใช้ได้ผลที่อเมริกา ณ ช่วงเวลาดังกล่าวได้ไหมนะ?
ต้องบอกก่อนว่าปี 1960 เป็นช่วงเวลาที่มีการรณรงค์เพื่อต่อต้านการเหยียดผิวหนักมาก และคนที่ก่ออาชญากรรมส่วนใหญ่ก็เป็นคนผิวสีซะด้วยสิ หรือพูดง่ายๆก็คือ ถ้ามีคนลงโทษอย่างหนักกัยคนก่ออาชญากรรม ก็กลายเป็นว่าคุณทำโทษคนผิวสีหนักไปโดยปริยาย ผลก็คือคนส่วนใหญ่จะมองว่าคุณเหยียดผิว
นอกจากนี้ยังมีแรงผลักดันจากการรณรงค์ของนักสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับสิทธิของผู้ที่ก่ออาชญากรรม ผลที่ตามมาก็คือมีการตัดสินว่าผิดจริงน้อยลง ผู้ที่ถูกตัดสินว่ากระทำความผิดได้รับสิทธิต่างๆมากขึ้น ลงโทษผู้ที่กระทำความผิดลดลง และติดคุกสั้นลง โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับยาเสพติดจะไม่ได้รับโทษจำคุก (แต่ถูกคุมประพฤติแทน) ดังนั้นก็ไม่แปลกที่อาชญากรจะเพิ่มขึ้น (ว่าแต่ จริงหรือ?)
ถ้ามองในแง่แรงจูงใจก็อาจจะจริงครับ แต่หลังจากที่อัตราการก่ออาชญากรรมพุ่งสูงขึ้นมาก ทำให้มีแรงผลักทางการเมืองให้กลับไปตัดสินและลงโทษผู้กระทำความผิดมากขึ้นในที่สุด
ในปี 1980 – 2000 ผู้ที่กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดถูกตัดสินจำคุกเพิ่มขึ้นถึง 50 เท่า ในขณะที่ความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมก็ได้รับโทษจำคุกที่ยาวขึ้น และในปี 2000 ผู้ที่ถูกตัดสินให้จำคุกก็มีถึง 4 เท่าของปี 1972
ลองคิดดูสิครับ โทษที่หนักขึ้นทำให้คนเกรงกลัวต่อกฏหมาย นอกจากนี้ยังเป็นการจำกัดไม่ให้คนที่เคยมีประวัติการก่ออาชญากรรมไปก่ออาชญากรรมซ้ำได้อีก นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ดีทีเดียวในการยืนยันว่าการบังคับใช้กฏหมายที่เข้มงวดทำให้อัตราการก่ออาชญากรรมลดลงจริงไหมครับ แต่!!! ในปี 1977 มีงานวิจัยนึงชื่อว่า “On Behalf of a Moratorium on Prison Construction” ซึ่งสรุปได้ว่า “ยิ่งมีนักโทษในเรือนจำมากขึ้นเท่าไร อัตราการเกิดอาชญากรรมก็จะยิ่งสูงขึ้น” ดูขัดแย้งไม่ต่างจากนักวิชาการที่มาคัดค้านโทษประหารชีวิตในบ้านเราเลยใช่ไหมล่ะครับ แม้ว่ารายงานการวิจัยดังกล่าวจะดูไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผล แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีน้ำหนักซะทีเดียว อย่าลืมว่าไม่ใช่ทุกคนที่ดีใจที่ได้เห็นเวลาอาชญากรเข้าคุก และอย่าลืมว่าญาติพี่น้องของผู้ที่กระทำความผิดย่อมไม่พอใจ ที่สำคัญคือมันไปตอกย้ำภาพลักษณ์ที่ว่า คนผิวสีถูกเหยียดผิวและได้รับการปฏิบัติที่แย่กว่าคนผิวขาว
คุณลองคิดดูว่า สมมติคุณอยู่ในประเทศหนึ่งที่วันๆมีแต่คนไทยถูกตัดสินจำคุก ถูกลงโทษอย่างหนัก ในขณะที่คนชาติอื่นแทบไม่ได้รับการตัดสินว่าผิดเลย (แม้ว่าคนที่ถูกตัดสินจำคุกจะทำความผิดจริงๆก็เถอะ) คุณย่อมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า ชาติพันธุ์ของคุณถูกเลือกปฏิบัติ และอาจมีพวกคุณจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกว่าประเทศนั้นรังเกียจพวกคุณ จึงไม่มีเหตุผลอะไรให้คุณแคร์ความเป็นตายร้ายดีในประเทศนั้นอีก
นอกจากนี้ อย่าลืมว่าการจำคุกเป็นแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น ถ้าสาเหตุที่แท้จริงยังไม่ได้รับการแก้ไข อาชญากรก็จะยังถูกผลิตขึ้นในทุกๆวันอยู่ดี อย่างไรก็ดีจากการศึกษาค้นคว้าอย่างเข้มข้น พบว่าวิธีนี้ไม่ได้ไร้ประโยชน์ซะทีเดียว แต่สามารถลดอัตราการเกิดอาชญากรรมได้ถึง 1 ใน 3
การบังคับใช้โทษประหารชีวิตที่มากขึ้น
ถ้าแค่จำคุกยังไม่พอให้คนเกรงกลัวต่อกฏหมาย การลงโทษประหารชีวิตน่าจะเป็นอะไรที่ทำให้คนยำเกรงได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วในปัจจุบันนี้ กรณีศึกษาครั้งนี้อาจช่วยไขคำตอบให้เราได้ว่า “โทษประหาร สามารถช่วยลดอาชญากรรมได้จริงหรือ”
ช่วงปี 1980 – 2000 อเมริกามีผู้ได้รับโทษประหารชีวิตมากขึ้นถึง 4 เท่า แน่นอนว่าผลที่ตามมาคืออาชญากรรมที่ลดลงจนหลายคนอดที่จะสรุปไม่ได้ว่า โทษประหารชีวิตช่วยลดอัตราการเกิดอาชญากรรมได้ แต่เหตุผลนี้ก็เหมือนข้ออื่นๆที่เราก็ยังหาข้อสรุปที่แน่ชัดไม่ได้ว่า มันเป็นสาเหตุให้อัตราการเกิดอาชญากรรมลดลงจริงๆ
แต่ถึงแม้ว่าโทษประหารชีวิ
ถึงยังไงซะ โทษประหารชีวิตก็ไม่ได้สูญเปล่
จากข้อมูลทั้งหมด เราจึงสรุปได้ว่า โทษประหารชีวิตสามารถลดการก่
การเพิ่มจำนวนตำรวจ
อีกหนึ่งมาตรการที่อเมริกาใช้หยุดยั้งอาชญากรรม คือการเพิ่มจำนวนตำรวจครับ
ขอนอกเรื่องหน่อย รู้ไหมครับ แวบแรกที่ผมได้ยินมาตรการข้อนี้ ผมนึกถึงวิธีการแก้ปัญหาการศึกษาของไทย ด้วยการเพิ่มจำนวนครูเข้าไปในระบบทุกๆปีเลยครับ และนั่นเป็นผลให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นกระทรวงที่ใช้งบสูงมากทุกปี คือราวๆ 20% ของ GDP (งบกลาโหมที่ว่าซื้อรถถัง เรือดำน้ำ ใช้งบอยู่ที่ 4-6% ของ GDP เท่านั้นเองครับ คิดดูว่า 20% มันเยอะขนาดไหน แม้ว่าปัจจุบันจะพยายามลดจำนวนครูลงแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพราะเด็กลดลงเร็วมากๆต่างหากครับ ปัจจุบันเด็กลดลงไป 50% เมื่อเทียบกับเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่ลดจำนวนครูได้เพียง 10% เท่านั้นเองครับ และที่ผ่านมา เราก็น่าจะได้คำตอบกันแล้วว่าการเพิ่มจำนวนครู มันได้ผลจริงหรือเปล่านะครับ (ของอเมริกามันแก้ปัญหาอาชญากรรมได้ ต้องเสียเวลามานั่งสาเหตุกันอีกว่ามันลดลงเพราะอะไร แต่ของเราผลลัพธ์เป็นการศึกษาไทยย่ำแย่ เลยไม่ต้องมาเสียเวลาหาว่ามาตรการไหนที่ได้ผลกันแน่ (ฮา))
มาต่อกัน
ถ้าเราเอาจำนวนตำรวจมาพร็อตกราฟหาความสัมพันธ์กับจำนวนอาชญากรรม เราจะพบว่ายิ่งจำนวนตำรวจเพิ่มมากขึ้น จำนวนอาชญากรรมก็จะเพิ่มมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าตำรวจก่อให้เกิดอาชญากรรมนะครับ นั่นเป็นเพราะว่ายิ่งมีอาชญากรรมมาก รัฐบาลก็จะยิ่งเพิ่มจำนวนตำรวจเท่านั้นเอง ดังนั้นความสัมพันธ์นี้ จึงไม่อาจอธิบายอะไรได้ครับ (เหมือนเวลาเราโดนปล้นปล่อยๆ เราก็ติดกล้องวงจรปิดเพิ่มขึ้น ยิ่งโดนปล้นมากขึ้น เราก็ยิ่งติดมากขึ้น พอนำมาเทียบดูก็เลยกลายเป็นว่ายิ่งมีกล้องวงจรปิดมาก ยิ่งโดนปล้นมาก แต่เราจะสรุปว่ากล้องวงจรทำให้ถูกปล้นไม่ได้ เพราะมันไม่ได้เกี่ยวกันเลยยังไงละครับ)
ในเมื่อไม่สามารถเทียบกันตรงๆได้ นักเศรษฐศาสตร์ก็เลยต้องใช้วิธี เทียบอัตราการเกิดอาชญากรรมระหว่างเมืองที่จ้างตำรวจเพิ่ม และเมืองที่ไม่มีการว่าจ้างตำรวจเพิ่ม ผลที่ได้ก็คือ เราได้ค้นพบว่า “การจ้างตำรวจเพิ่มขึ้นในทศวรรษปี 1990 ช่วยลดการเกิดอาชญากรรมลงได้ประมาณ 10% ครับ”
การควบคุมอาวุธปืนอย่างเข้มงวด
อเมริกาได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่เสรีเรื่องอาวุธปืนมากที่สุดประเทศนึงของโลก และก็ตามมาด้วยข่าวกราดยิงกันเป็นประจำ จนสุดท้ายตามมาด้วยคำถามที่ว่า เราควรปล่อยเสรีอาวุธปืนจริงหรือ แต่ไม่ว่าปัจจุบันจะเป็นอย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่อัตราการเกิดอาชญากรรมพุ่งสูงถึงขีดสุด ใครๆก็เอาด้วยกับมาตรการและกฏหมายที่ถูกนำมาควบคุมอาวุธปืนด้วยกันทั้งนั้น ว่าแต่ว่า การควบคุมอาวุธปืน จะช่วยลดอัตราการเกิดอาชญากรรมได้จริงไหม?
ปัญหาเรื่องปืนเป็นที่ถกเถียงมาช้านานครับ มีทั้งส่วนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในเรื่องเสรีอาวุธปืน จริงๆ ตรรกะของคน 2 กลุ่มนี้ มีจุดเริ่มต้นที่ต่างกันเพียงนิดเดียวครับ
ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจก่อนว่า ปืนเป็นอาวุธที่มีศักยภาพสูงในการเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ในการต่อสู้ หรือเจรจาต่อรองใดๆก็ตาม
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าชาย 2 คนที่มีสภาพร่างกายพอๆกันสู้กัน โอกาสที่จะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะชนะก็จะมีพอๆกัน แต่ถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งมีปืน ผลการต่อสู้ก็จะเปลี่ยนแปลงทันที หรือเวลาสามีกับภรรยาทะเลาะกัน หากมีการต่อสู้กันเกิดขึ้น โอกาสที่สามีจะชนะย่อมมีมากกว่าภรรยา แต่ถ้าภรรยามีปืน ผลการต่อสู้ก็เปลี่ยนแปลงทันที หรือในการเจรจาต่อรองใดๆก็ตาม ในสถานการณ์ปกติ แม้ว่าฝ่ายนึงจะเสียเปรียบอีกฝ่ายนึงมาก แต่ถ้าฝ่ายที่เสียเปรียบมีปืน สถานการณ์การต่อรองก็จะเปลี่ยนไปในทันที
“นี่คืออานุภาพของอาวุธปืนครับ”
ทีนี้คนที่เห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยต่างกันยังไง ลองจินตนาการตามแบบนี้ครับ
มีเด็กผู้หญิงคนนึง กำลังจะถูกอาชญากรทำร้าย ถ้าทั้ง 2 ฝั่งไม่มีปืน โอกาสที่อาชญากรจะชนะมีสูงมากทีเดียว แต่!ถ้าเด็กผู้หญิงมีปืน สถานการณ์จะเปลี่ยนไปทันที กล่าวคือ กลายเป็นโอกาสที่อาชญากรแพ้มีสูงมาก ในทางกลับกันถ้าอาชญากรมีปืนย่อมสร้างความเสียหายได้รุนแรงและรวดเร็วแก่เด็กผู้หญิงได้มากกว่าอย่างแน่นอน
สรุปง่ายๆก็คือ ในตรรกะของฝ่ายที่สนับสนุนเสรีอาวุธปืน เชื่อว่าถ้าปืนอยู่กับเด็กผู้หญิง ย่อมเป็นผลดีกว่า ในการป้องกันตัว ในขณะที่ฝ่ายคัดค้านเห็นว่า โอกาสที่อาชญากรจะมีปืนสูงกว่าโอกาสที่เด็กผู้หญิงจะมีปืน ทำให้สร้างความเสียหายแก่เด็กผู้หญิงได้มากกว่านั่นเองครับ
กลับมาสู่ประเด็นที่ว่า การควบคุมอาวุธปืนช่วยลดอัตราการเกิดอาชญากรรมได้จริงหรือ?
ในช่วงเวลานั้น อเมริกาได้เพิ่มข้อกำหนดให้ตรวจสอบประวัติคนที่ต้องการจะซื้อปืนอย่างเข้มข้น และเพิ่มระยะการรอคอยอาวุธปืนที่จะได้รับให้นานขึ้น อย่างไรก็ตาม ในความจริงแล้ว เรากลับพบว่ามาตรการนี้แทบไม่ช่วยอะไรเลย เพราะแม้ว่ากฏระเบียบจะเข้มงวดเพียงไร ถ้าปืนที่ได้มามันไม่ได้ได้มาอย่างถูกกฏหมาย มีกฏระเบียบไปก็ไร้ประโยชน์ และความจริงก็คือมีอาชญากรเพียง 1 ใน 5 เท่านั้นที่ใช้ปืนถูกกฏหมาย นอกจากนี้ในเมืองที่มีการใช้กฏหมายควบคุมอาวุธปืนอย่างเข้มงวดมาก่อนเพื่อน อย่างวอชิงตันและชิคาโก กลับมีอัตราการลดลงของอาชญากรรมเป็นเมืองท้ายๆของสหรัฐ ซึ่งช่วยชี้ให้เห็นว่ามาตรการนี้นั้นไม่ได้ผล
อย่างไรก็ตาม เราพบว่า มาตรการอย่าง การเพิ่มระยะการคุมขังแก่นักโทษในคดีอาวุธปืนเถื่อน ช่วยลดอัตราการเกิดอาชญากรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นโยบายอีกอย่างที่น่าสนใจก็คือ นโยบายรับซื้อปืนจากประชาชนคืน แต่น่าเศร้าที่อาชญากรที่จะนำปืนไปใช้งานจริงๆไม่ได้มีความคิดจะเอาปืนมาขายคืนให้รัฐ (ฮา) แต่เป็นประชาชนทั่วไปต่างหากที่เอาปืนมาขายคืนให้ นอกจากนี้จำนวนปืนที่เข้าสู่ท้องตลาดก็มากกว่าจำนวนปืนที่ถูกนำมาขายคืนหลายเท่า แม้ว่าในทางสถิติ โอกาสที่ปืน 1 กระบอกจะถูกนำไปใช้ฆ่าคนนั้นอยู่ที่ 1 ใน 10,000 แต่นโยบายนี้ซื้อปืนคืนจากประชาชนได้เพียงราวๆ 1,000 กระบอกเท่านั้น ดังนั้น ในทางทฤษฎี นโยบายนี้จึงลดการฆาตกรรมได้เพียง 0.1 ครั้งเท่านั้น
ถึงแม้ว่าการควบคุมปืนอย่างเข้มงวดในครั้งนี้จะไม่ค่อยมีประสิทธิภาพในการลดการเกิดอาชญากรรมนัก การศึกษาหลายชิ้นก็ชี้ให้เห็นว่า กฏหมายที่อิงสมมติฐานในตรงกันข้าม (สมมติฐานคือ ให้ปืนอยู่กับผู้บริสุทธิ์ดีกว่าให้อาชญาการมีปืนอยู่ฝ่ายเดียว) อย่าง “การอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนก็ไม่ได้ช่วยให้อาชญากรรมลดลงแต่อย่างใด”
เหตุการณ์แคร็กโคเคนฟองสบู่แตก
ในช่วงที่แคร็กโคเคนรุ่งเรือง แคร็กโคเคนสามารถสร้างรายได้มหาศาลจนจำนวนมากหันมาจับธุรกิจนี้ ผลก็คือ มีการยิงกันตามมุมตึกและท้องถนน เพื่อแย่งชิงทำเลทองในการซื้อขายแคร็กโคเคน ผลก็คือคดีอาชญากรรมร้ายแรงพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากคดีคนขาย ยิงคนขายด้วยกันเอง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 1991 เป็นต้นมา แคร็กโคเคนเกิดปัญหาราคาตกต่ำเนื่องจากมีล้นตลาด ผลคือคนขายเริ่มตัดราคากันเอง
เราอาจจินตนาการว่ามีขี้ยาที่ติ
เมื่อการตัดราคารุนแรงมากขึ้น ผลตอบแทนที่ได้จึงไม่คุ้มค่าที่
จากรายงานการวิจัย เราพบว่า ผลจากฟองสบู่แตกในตลาดแคร็
ประชากรสูงวัยมีเพิ่มมากขึ้น
ในทางสถิติแล้ววัยรุ่นมี
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายว่าอั
คำพิพากษาของศาลฏีกาในคดีโรและเวด
อเมริกาหลังปี 1900 ก็เหมือนประเทศไทยที่มีกฏหมายห้ามทำแท้ง แต่ก็อาจยกเว้นได้บางกรณี เช่น ถูกข่มขืน หรือท้องกับคนในครอบครัว แต่แล้วในวันที่ 22 มกราคม 1973 ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ในวันนั้นศาลฏีกาได้มีมีคำพิพากษาของคดีโรและเวด และคำพิพากษานั้นก็ได้ทำให้การทำแท้งเป็นเรื่องถูกกฏหมายไปทั่วสหรัฐอเมริกา
ในปีเดียวหลังคำพิพากษาได้มีการทำแท้งถึง 750,000 ครั้ง
ในปี 1980 จำนวนครั้งของการทำแท้งสูงถึง 1,600,000 ครั้ง
แน่นอนว่าผู้หญิงที่ทำแท้งมักจะมีปัญหาเรื่องใดเรื่องหนึ่งต่อไปนี้
- ท้องไม่มีพ่อ
- อยู่ในวัยรุ่น
- ฐานะยากตน
- มีปัญหาทั้ง 3 ข้อรวมกัน
แล้วถ้าเด็กเกิดมาในแม่ที่มีปัญหาใน 3 ข้อ ไม่อยากจะคิดเลยว่าเค้าจะต้องเจออะไรบ้าง?
มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า ถ้าเด็กคนนั้นได้เกิดมา สิ่งที่เค้ามีโอกาสเจอคือ
- เค้ามีโอกาสมากกว่า 50% ที่จะเกิดมาในครอบครัวและชุมชนที่ยากจน
- เค้ามีโอกาสมากกว่า 60% ที่จะเติบโตมาในครอบครัวที่พ่อหรือแม่เพียงคนเดียว
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่พบว่า “เด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่มีพ่อหรือแม่เพียงคนเดียวมีโอกาสจะก่ออาชญากรรมสูงกว่าเด็กปกติทั่วไปถึง 2 เท่า” ไม่เพียงเท่านี้ เรายังพบว่า แม่ที่เป็นวัยรุ่นส่วนใหญ่มักจะขาดความรู้และทักษะในการเป็นแม่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้เด็กเติบโตขึ้นมาเป็นอาชญากร
เราคงจินตนาการออกว่า เด็กที่เกิดมาในครอบครัวที่มีปัญหา โดยเฉพาะในช่วงดังกล่าวซึ่งมีการก่ออาชญากรรมสูงลิบ จะต้องเจออะไรมาบ้าง กว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่
เป็นที่น่าสังเกตว่ากฏหมายทำแท้งเริ่มในปี 1973 แต่กว่าจะเห็นผลก็ปี 1990 ซึ่งถ้าหากไม่มีกฏหมายทำแท้ง และเด็กเหล่านั้นได้มีโอกาสลืมตาขึ้นมาดูโลก พวกเค้าจะอายุ 17 ปี ในปี 1990 พอดี ซึ่งเป็นช่วงกลัดมันในวัยรุ่นตอนปลาย หรือเป็นช่วงที่เยาวชนเริ่มก่ออาชญากรรมนั่นเอง
แต่เหตุผลแค่นี้ อาจจะยังไม่หนักแน่นพอที่จะสรุปได้ว่า คำพิพากษาในคดีเล็กๆนี้ จะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่แก้ปัญหาการก่ออาชญากรรมได้ทั่วทั้งอเมริกา เราจึงต้องดูข้อมูลทางสถิติอื่นๆประกอบด้วย
ข้อมูลที่น่าสนใจ เช่น เราพบว่า มีรัฐ 5 รัฐ คือ แคลิฟอเนีย, นิวยอร์ก, วอชิงตัน, อลาสก้า และฮาวาย ที่อนุญาตให้ผู้หญิงทำแท้งได้ก่อนจะมีคำพิพากษาในคดีดังกล่าวอย่างน้อย 2 ปี มีการเกิดอาชญากรรมลดลงก่อนรัฐอื่นๆอีก 45 รัฐ นอกจากนี้เรายังพบด้วยว่ายิ่งรัฐไหนมีอัตราการทำแท้งสูง รัฐนั้นก็จะมีอัตราการเกิดอาชญากรรมลดลงตามไปด้วย และยังมีข้อมูลทางสถิติอีกมาก ที่ช่วยยืนยันว่า การทำแท้ง เป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้อัตราการเกิดอาชญากรรมลดลงไปอย่างรวดเร็วหลังปี 1990
มาถึงตรงนี้ น่าจะคำตอบกันแล้วนะครับ ว่า “ทำไมอัตราการก่ออาชญากรรมช่วงปี 1960 – 1990 ในอเมริกา ถึงสูงลิบลิ่ว”
ว่าแต่ การทำแท้งคือทางออกที่ดี จริงหรือ?
มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจกำลังครุ่นคิดว่า ถ้าเรานำกฏหมายทำแท้งถูกกฏหมายมาใช้ในไทย เราก็น่าจะลดการเกิดอาชญากรรมได้เหมือนๆกัน
แต่โปรดอย่าได้ลืมว่า “เด็กในท้อง ก็คือชีวิต 1 ชีวิตเหมือนกัน”
ถ้าเราบอกว่าอาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุดคือการฆาตกรรม การที่เราจะตอบได้ว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่คุ้มค่าหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเราให้ความสำคัญระหว่าง คนที่เกิดมาแล้ว มีคุณค่ามากกว่าเด็กในท้องที่ยังไม่ได้เกิดมากขนาดไหน
ลองดูตัวเลขนะครับ
อเมริกามีการทำแท้งปีละ 1,500,000 ครั้ง แต่ใน 1,500,000 ครั้ง สามารถลดคดีฆาตกรรมได้เพียงหลักพันคดีเท่านั้นเองครับ หรือเต็มที่จริงๆก็ประมาณหมื่นคดีนิดๆ
ดังนั้น ถ้าเราบอกว่า เราให้คุณค่าระหว่างเด็กที่ยังไม่เกิดและคนที่เกิดมาแล้วเท่ากัน นั่นเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่าแน่นอน เพราะต้องเสียเด็กที่ยังไม่เกิดเป็นล้านคน แลกกับชีวิตคนที่เกิดมาแล้วหลักพันชีวิต การที่ใครจะสามารถมองเป็นเรื่องคุ้มค่าได้ คนๆนั้นต้องให้ความสำคัญกับผู้ใหญ่ที่ได้เกิดมาแล้ว มากกว่าเด็กที่ยังไม่เกิดเป็นร้อยเท่า หรือพันเท่า (คือยอมแลกชีวิตเด็กทารกในครรภ์ 100 หรืออาจะถึง 1,000 คน เพื่อรักษาชีวิตคนที่เกิดมาแล้ว 1 คน นั่นเองครับ)
Share this: